นานาสาระของเบาหวานชนิดที่ 2 พบอุบัติการณ์ของโรคเบาหวานประมาณ 2.6 ล้านคน และพบมากถึง 9 ใน 10 รายของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคนี้สามารถเป็นได้ทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในช่วงอายุที่มากกว่า 40 ปีขึ้นไป คนเชื้อสาย อัฟฟริกัน-แคริบเบียนและคนเอเชียใต้ มีแนวโน้มจะเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าเชื้อชาติอื่น โดยจะเริ่มเป็นเบาหวานในอายุเฉลี่ยที่ 25 ปี ดังที่ได้กล่าวในตอนต้นว่า โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคที่เกิดขี้นเนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอกับความต้องการ หรือร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินที่ลดลง หน้าที่ของอินซูลินคือเป็นฮอร์โมนหลักในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยทั่วไปเมื่อเรารับประทานน้ำตาล กลูโคสซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในอาหารและเครื่องดื่มจะถูกย่อยและดูดซึมในลำไส้ หลังจากนั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับร่างกายต่อไป ตับอ่อนซึ่งวางตัวอยู่หลังกระเพาะอาหาร เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน เมื่อร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินลดลง เราเรียกภาวะนี้ว่า “insulin resistance” ทำให้ต้องมีการสร้างฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดลง และในที่สุดเมื่อร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินทดแทนได้อีกต่อไป จะทำให้เกิดโรคเบาหวานตามมา ชนิดของโรคเบาหวาน มี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดที่ 1 และ 2 อาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยทั่วไปผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการ และบ่อยคร้งตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี อาการที่ทำให้สงสัยว่าจะมีโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูง เกิดขึ้นได้เมื่อผู้ป่วยไม่ได้คุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ดีพอ และบ่อยครั้งในเวลาที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยจะมีอาการ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย การมองเป็นลดลง อ่อนเพลียง่าย จะเห็นได้ว่าอาการดังกล่าวไม่ได้เป็นอาการจำเพาะของโรคเบาหวานอย่างเดียว ในกรณีที่ระดับน้ำตาลสูงมากๆ สามารถทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะ “hyperosmolar hyperglycaemic state” โดยผู้ป่วยจะหมดสติได้ ภาวะนี้ถื่อว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน และจำเป็นต้องไปโรงพยาบาลโดยทันที สำหรับผลแทรกซ้อนในระยะยาวเมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ การเกิดโรคไตวายเฉียบพลัน การมองเห็นลดลง เส้นประสาทส่วนปลายประสาทอักเสบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคอัมพาต อัมพฤต ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เกิดขึ้นในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยาลดระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป หรือผู้ป่วยทานอาหารได้ลดลง สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญได้แก่ การตรวจปัสสาวะ ตรวจ fasting blood glucose โดยผู้ตรวจจำเป็นต้องงดน้ำงดอาหาร เราสามารถตรวจดูระดับน้ำตาลย้อนหลังโดยอาศัยการตรวจ HbA1C ทราบ การทำ glucose tolerance test จะทำการทดสอบนี้ในกรณีที่ผู้ทดสอบมีระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ก้ำกึ่ง โดยการให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหวานและทำการวัดระดับน้ำตาลในเลือดในระยะเวลาต่างๆกัน การรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ถึงแม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาใดที่สามารถทำให้โรคเบาหวานหายขาดได้ แต่ก็สามารถควบคุมโรคได้ด้วย การรักษา 3 วิธีด้วยกัน ได้แก่ Self-help (การดูแลตนเอง) ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อที่จะได้ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติดังต่อไปนี้ แพทย์จะเริ่มการรักษาทางยาเมื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่เพียงพอในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ยกตัวอย่างยาที่ใช้ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้แก่ โดยทั่วไปแพทย์จะเริ่มฉีดยาอินซูลิน เมื่อไม่สามารถควบคุมระดับของน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการทานยาลดระดับน้ำตาลในเลือด วิธีนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการฉีดยาอินซูลินด้วยตนเอง การบริหารทำได้โดยการใช้บรรจุยาอินซูลินเข้ากับด้ามปากกา และใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก ทำการฉีดเข้าที่ชั้นใต้ผิวหนัง ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีการตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง โดยการเจาะเลือดจากปลายนิ้วผู้ป่วย ทำการอ่านผลโดยเครื่องอ่านผล การตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยควรที่จะได้รับการตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) อย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี ซึ่งจะแสดงถึงระดับน้ำตาลย้อนหลังกลับไปในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา |